โรงพยาบาลธัญญารักษ์สงขลา

นักวิจัยสถาบันโรคพิษสุราเรื้อรังในสหรัฐค้นพบแอลกอฮอล์หรือเอทานอลเป็นสารก่อมะเร็งในตัวเอง ถูกแปลงเป็นสาร acetaldehyde ที่เป็นสาเหตุทำให้ DNA ถูกทำลาย

นักวิจัยของ ดร.ฟิลิป เจ.บรู๊ค แห่งสถาบันโรคพิษสุราเรื้อรังในมลรัฐแมริแลนด์ของสหรัฐ ศึกษาพบสาเหตุที่ทำให้การดื่มแอลกอฮอล์มีความเสี่ยงเป็นมะเร็ง โดยพบว่าแอลกอฮอล์หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เอทานอล อันได้จากการหมักพืชนั้นเป็นสารก่อมะเร็งด้วยตัวเอง


นักวิจัยได้ดัดแปลงเซลล์มนุษย์เพื่อให้ผลิตเอนไซม์ชนิดหนึ่งเหมือนที่พบในตับและเนื้อเยื่อเต้านม จากนั้นนำเซลล์ดังกล่าวเปิดรับแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นใกล้เคียงกับระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังจากดื่มไป 2-3 แก้ว และได้ผลช่วยยืนยันว่าแอลกอฮอล์หรือเอทานอลถูกแปลงเป็นสาร acetaldehyde ที่เป็นสาเหตุทำให้ DNA ถูกทำลาย และทำให้ DNA ของเซลล์ทำงานซ่อมแซมยีนต่างๆ


ดร.บรู๊คกล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์และการเกิดมะเร็งบางชนิดค้นพบครั้งแรกเมื่อทศวรรษ 1980 แต่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าแท้จริงแล้วแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุของมะเร็ง จนเมื่อไม่นานมานี้เริ่มมีหลักฐานยืนยันเพิ่มขึ้น


บทบาทก่อมะเร็งของสาร acetaldehyde ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นหลังพบว่าชาวเอเชียตะวันออกมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งหลอดอาหาร (Esophageal cancer) ซึ่งในประชาชนส่วนใหญ่ สาร acetaldehyde จะถูกแปลงเป็นสารอีกชนิดที่ไม่อันตรายคือ acetate ด้วยเอนไซม์ชื่อว่า ALDH2 แต่คาดว่ามีชาวเอเชียตะวันออกประมาณ 30% ไม่สามารถย่อยสลายแอลกอฮอล์เป็นสาร acetate ได้เพราะมีการผ่าเหล่าของยีน ALDH2 จึงเท่ากับว่าดื่มไปแล้วไม่ได้ถูกย่อยสลาย จึงมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นมะเร็งชนิดนี้


อย่างไรก็ตาม ดร.บรู๊คยอมรับว่า การศึกษาในขณะนี้เป็นการดูบทบาทของสาร acetaldehyde ในแอลกอฮอล์ที่สัมพันธ์กับมะเร็งตับและมะเร็งเต้านมเท่านั้น ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มในสัตว์และมนุษย์เพื่อให้ได้หลักฐานยืนยันเพิ่มขึ้น

ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/24492