สยบ'อารมณ์โกรธ'ขจัด'ความเครียด'

by kadocom @5-10-53 09.55 ( IP : 203...38 ) | Tags : มุมวิชาการ
photo  , 200x200 pixel , 54,819 bytes.

ผลการศึกษาวิจัยของ ดร.แซนดี มานน์ ผู้เขียนหนังสือ Anger Management ระบุว่า บุคคลที่มีความโกรธสะสมตั้งแต่ในวัยทำงาน มีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคหัวใจในวัยกลางคนได้สูงกว่าคนปกติถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และยิ่งในบางคน ซึ่งเป็นคนที่คอยแต่จะโกรธผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา จนติดเป็นนิสัย จะยิ่งส่งผลเสียอย่างมากต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และต่อบุคลิกภาพด้วย หากบุคคลผู้นั้นจมอยู่กับอารมณ์โกรธจนไม่สนใจเรื่องอื่นๆ ย่อมก่อให้เกิดความเครียด (Stress) ตามมาได้เช่นกัน

"ความโกรธ" เป็นเรื่องปกติและเป็นอารมณ์ที่มักเกิดขึ้นกับใครหลายคนได้บ่อยๆ แต่หากอารมณ์โกรธนั้น สะสมในจิตใจนานๆ จะยิ่งก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายได้มากมาย เสมือนลูกไฟแห่งความโกรธที่ถูกสะสมขึ้นทุกทีๆ จนเผาไหม้ทั้งกายและใจให้ร้อนรุ่ม ซึ่งผลกระทบที่มีต่อร่างกายอาจก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ เช่น เกิดโรคหัวใจ เพราะอารมณ์โกรธจะกระตุ้นให้หัวใจคุณบีบตัวเร็วและแรงขึ้น เกิดโรคความดันโลหิตสูง ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ร่างกายไม่สามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อการเกิด "โรคเครียด" และปัญหาสุขภาพจิตต่างๆ ตามมา

นายแพทย์ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า อารมณ์โกรธมักเกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกว่าต้องเป็นฝ่าย "ถูกกระทำ" เช่น ถูกตำหนิ ถูกนินทา ถูกใช้งานหนัก ถูกขับรถปาดหน้า ถูกโกง ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกทำให้อับอายเป็นต้น ปกติคนเราเมื่อโกรธแล้ว มักจะขาดสติ และทำอะไรแบบหุนหันพลันแล่น ซึ่งทำให้อาจจะต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง เช่น โกรธแล้วไปทำร้ายร่างกายหรือฆ่าผู้อื่น ก็ต้องติดคุก หมดอนาคต โกรธแล้วทำหน้างอ พูดจาหยาบคาย ก็เป็นการก่อศัตรูทำให้เสียสัมพันธภาพต่อกัน เป็นต้น ที่ร้ายกว่านั้นคือ โกรธแล้ว ความดันโลหิตจะสูงขึ้น หัวใจจะเต้นเร็วและแรงขึ้น ส่งผลเสียต่อสุขภาพ อาจถึงขั้น เส้นเลือดในสมองแตก ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือไม่ก็หัวใจวายได้ นอกจากนี้ กล้ามเนื้อจะหดเกร็งตัว หรือเกิดความเครียดสูงส่งผลบริเวณใบหน้า ทำให้มีริ้วรอยเหี่ยวย่นโกรธบ่อยๆ จะทำให้เกิดความเครียดสูงและแลดูแก่กว่าวัยอันควร!

อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้คำแนะนำว่า คนเราควรฝึกที่จะจัดการกับอารมณ์โกรธให้ได้ อย่าให้ความโกรธทำร้ายตัวเอง และทำร้ายผู้อื่น วิธีจัดการกับความโกรธอย่างง่ายๆ คือ ให้ฝึกสังเกตอารมณ์ของตัวเอง และให้รู้ตัวทันทีว่าโกรธ เช่น บอกกับตัวเองว่า "ฉันโกรธแล้วนะ" เป็นต้น เพราะการรู้ตัวเองตั้งแต่เริ่มโกรธ จะช่วยให้เราหยุดยั้งพฤติกรรมรุนแรงที่จะตามมาหลังความโกรธได้ เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มโกรธแล้ว ให้หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆ ตั้งสติอยู่กับลมหายใจแบบนี้ สักพักหนึ่ง คงเคยได้ยินได้ฟังคำแนะนำกันมาบ้างแล้วว่า เวลาโกรธ ให้นับ 1-10 จะช่วยลดความโกรธได้

ด้านของ "ความเครียด" ที่ตามมาหลังจากอารมณ์โกธรเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของบุคคล เมื่อต้องพบเจอกับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ไม่พอใจหรือสิ่งที่คุกคาม กดดันกับชีวิตความเป็นอยู่ของเรา ก็จะส่งผลเสียต่อร่างกาย จิตใจและพฤติกรรมของคนเราได้

อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า คนที่มีความเครียดสูงนั้น มักจะมีอาการผิดปกติของร่างกาย ได้แก่ ปวดหัว เป็นไมเกรน ปวดท้องอ่อนเพลีย ท้องอืด ท้องผูก ท้องเสีย นอนไม่หลับ เป็นต้น มีความผิดปกติทางจิตใจ เช่น หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าว ท้อแท้ ซึมเศร้า เป็นต้น หรือ มีความผิดปกติทางพฤติกรรม เช่น สูบบุหรี่จัด ดื่มสุรามากขึ้น จู้จี้ขี้บ่น เก็บตัว ชอบชวนทะเลาะ กัดเล็บนอนกัดฟัน ซึ่งคนที่มั่นใจในตัวเองว่า มีความสามารถเพียงพอ หรือมีแหล่งสนับสนุนที่จะคอยช่วยเหลือให้กำลังใจอยู่เสมอ จะเครียดน้อยกว่า คนที่รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย ด้อยความสามารถ หรือมองไปทางไหนก็มืดมนหนทาง หาคนจะคอยช่วยเหลือไม่ได้เลย เช่น เมื่อถูกตำหนิ ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกโกง หากมีคนใกล้ชิดไว้พูดคุยระบายความรู้สึกคอยให้คำปรึกษา ก็จะเครียดน้อยกว่าคนที่ด้อยความสามารถ และไม่มีคนคอยช่วยเป็นที่ปรึกษาให้

สำหรับวิธีการจัดการกับความเครียดนั้น อธิบดีกรมสุขภาพจิต อธิบายว่ามีหลายวิธีด้วยกันเช่น หันมาให้ความสนใจกับการออกกำลังกาย เล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง ร้องเพลง เล่นดนตรี อ่านหนังสือ ท่องเที่ยว เล่นกับลูก เล่นกับสัตว์เลี้ยง ปลูกต้นไม้ ไปเสริมสวย นวดตัวนวดหน้า พบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ทำบุญทำทาน สวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิ เป็นต้น ซึ่งแต่ละวิธีสามารถเลือกใช้เพื่อผ่อนคลายความเครียดทุกรูปแบบได้

เคล็ดลับของการจัดการกับความเครียดก็คือ การทำกิจกรรมที่ตรงกันข้ามกับงานที่ทำอยู่ประจำเช่น ถ้าทำงานนั่งโต๊ะทั้งวัน เลิกงานก็ควรคลายเครียดด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย ถ้าทำงานที่ต้องวิ่งวุ่นทั้งวัน ก็ควรคลายเครียดด้วยการพักผ่อนอยู่นิ่งๆ ความเครียดนั้นเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์หรือทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง การผ่อนคลายความเครียดจึงต้องทำเป็นประจำทุกวัน วันละหลายๆ ครั้งด้วย จึงควรเตรียมวิธีการคลายเครียดเอาไว้ให้หลากหลาย เพื่อจะได้เลือกใช้ให้เหมาะกับเวลาและสถานที่ และเพื่อป้องกันความเบื่อหน่ายด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

นายแพทย์ธวัช ลาพินี ผู้อำนวยการโรงพยาบาล