ฝึกสติชีวิตดีขึ้นทุกวัน

by kadocom @26-4-56 09.25 ( IP : 203...37 ) | Tags : มุมวิชาการ
photo  , 450x250 pixel , 131,320 bytes.

ถ้าเราได้ฝึกสติแล้ว อาตมภาพรับรองได้ว่าทุกๆ วันที่เราตื่นนอนขึ้นมาจนถึงหัวถึงหมอนในตอนค่ำเป็นวันแห่งความสุข อาตมภาพหวังว่าทุกคนมีหนทางพ้นจากความทุกข์


มีบางคนบอกว่า วันจันทร์ วินาศ เพราะว่าเป็นวันแรกของสัปดาห์ วันอังคาร วอดวาย วันพุธ หายนะ วันพฤหัสบดี ร่อแร่ วันศุกร์นี่เดชะบุญ รอดไปได้อีกอาทิตย์ เสาร์อาทิตย์นอน ก็เป็นเช่นนี้แหละมนุษย์เรา


อาตมภาพปรารถนาให้ทุกวันเป็นวันแห่งสติ เป็นวันแห่งความสุข พระพุทธเจ้าบอกว่า สติมโต สุเว เสยโย คนมีสติ ดีขึ้นทุกวัน ดังนั้นเราต้องฝึกสติ เพราะฉะนั้นลงมือเลยนะ


ต่อไปนี้ลองนั่งตามสะดวก หากนั่งขัดสมาธิก็นั่งต่อไป ถ้าไม่ได้ก็พับเพียบ การนั่งขัดสมาธิก็เอาเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง แล้วก็หลับตา


หลับตานั้นให้หลับพอดี อย่าให้สนิทมากจนปวดตา มือก็วางให้พอดี อย่าถึงกับเกร็ง


วิธีทำสมาธิเบื้องต้น


วิธีแรก : ให้เอาสติของเราไปจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจช้าๆ หายใจเข้ากำหนดว่า พุท หายใจออกกำหนดว่า โธ แล้วตามดูลมหายใจ เมื่อจิตสงบแล้วไม่บริกรรมว่า พุทโธ ก็ได้ แต่ขอให้ดูลมหายใจเฉยๆ เมื่อจิตสงบถึงที่สุดแล้วก็จะเกิดสมาธิ


วิธีที่สอง : ถ้าจับลมหายใจไม่ได้ ให้เอาสติไปจับที่ท้องน้อย ตรงลิ้นปี่ของเรา หายใจเข้าให้ดูว่ามันพอง หายใจออกให้ดูว่ามันยุบ แล้วก็กำหนดว่า ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ พองหนอ หรือถ้าขี้เกียจบริกรรมก็นั่งดูว่าท้องพองยุบอย่างเดียว เอาจิตไปจดจ่อที่ท้องหรือที่ปลายจมูก


ถ้าทำถูกวิธีจะนิ่งลงโดยลำดับจนเกิดสมาธิ แต่ก่อนจะเกิดสมาธิ ถ้ามาถูกทางแล้วจะเกิดความเพลินที่ เรียกว่า “ปราโมทย์” ถ้าเกิดขึ้นมาแล้วก็จะมีความซาบซ่านเกิดขึ้น เขาเรียกว่า “ปีติ” แล้วลมหายใจสงบ กายก็สงบ เรียกว่า “ปัสสัทธิ”


จากนั้นก็จะสงบ โปร่ง เบา ผ่อนคลาย เมื่อกายเป็นอย่างนี้ก็รู้สึกว่ามีสมาธิคือจิตนิ่ง จิตนิ่งหรือจิตเป็นหนึ่ง ตัวนี้คือ “สมาธิ”


เมื่อเรามีสมาธิจิตเราก็เข้มแข็ง สติเข้มแข็งแล้ว เราจะรู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งทางกาย ทางความรู้สึก ทางความคิด และก็ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเราก็จะรู้เท่าทันตามความเป็นจริง


ทุกวันนี้เราไม่ได้รู้เห็นตามเป็นจริงเพราะขาดสติ อะไรที่มากระทบเรา เราจะรู้ทัน (...ลองมานั่งสมาธิกัน)


พื้นฐานดีแล้วต้องนำไปต่อยอด

เอาล่ะพอสมควรแก่เวลา ค่อยๆ คลายมือออกมานะ ลองสังเกตดูว่า ถ้าเราหายใจยาวๆ สติมันจะมาโดยอัตโนมัติ ถ้าปล่อยลมหายใจไปตามธรรมชาติ บางทีหายใจอยู่ แต่เราไม่เคยรู้ เชื่อไหมว่าบางทีเราหายใจอยู่ แต่เราไม่เคยรู้ก็มีนะ ทั้งๆ ที่เราหายใจอยู่ทุกวัน


อาตมภาพเคยเป็นโรคเส้นเสียงอักเสบตอนเป็นเณรน้อย ไปรักษาหมอเขาให้ฝึกหายใจ ให้ดูที่ท้อง หายใจเข้าท้องมันควรจะพอง หายใจออกท้องควรจะยุบ ปรากฏว่าไปนั่งดูจริงๆ มันไม่ใช่ หายใจเข้ามันยุบ หมอบอกว่าท่านหายใจไม่เป็น


โกรธหมออยู่ตั้งนาน หายใจไม่เป็นได้อย่างไร


คือหายใจได้ แต่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าถ้าเราหายใจเป็น เราไปเป็นนักร้องก็ไม่ต้องตะเบ็งเสียงมากหรอก เสียงมีพลังเช่นเดียวกัน ถ้าเราหายใจเป็น ถ้าเกิดวิกฤตให้ลองตามลมหายใจ เวลาที่เกิดวิกฤตให้หายใจเข้าลึกๆ นี่คือวิธีเรียกสติที่ดีที่สุด


หากอยากรู้ว่าสติดีหรือไม่ดี ก็ลองหาโอกาสไปอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ แล้วดูว่ามันประหม่าไหม หรือไม่งั้นก็มาคุยกับพระว่ามันประหม่าไหม ถ้าคุยได้เรื่อยๆ ไม่ประหม่า ก็แสดงว่าดีขึ้น ใช้ได้ เพราะว่าบางคนคุยกับอาตมาได้สักพักหนึ่งเจริญพรใส่อาตมาแล้ว อย่างนี้เรียกว่าขาดสติ แต่ก็ไม่บาปหรอก บาปมันไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ขนาดนั้น


เมื่อเราตั้งเจตนาดีเราก็ฝึกเอา นี่เป็นผลที่เรียกว่าพื้นฐานที่สุด


คือถ้าเราหายใจถูกต้องแล้วสติมาโดยอัตโนมัติ เมื่อสติมาสมาธิก็มา สมาธิมาเดี๋ยวปัญญามันก็มา เหมือนกับว่าเราเอาเม็ดมะม่วงนี้ไปเพาะ ถ้าคุณเพาะถูกสัดส่วนของมันเดี๋ยวใบมันมา เดี๋ยวลำต้นมา เดี๋ยวดอกมา เดี๋ยวผลมะม่วงก็มา เอ...ตอนเพาะฉันก็เพาะแต่เม็ด ที่เหลือมันมาได้อย่างไร


เห็นไหม นี่คือธรรมชาติจัดสรร


ถ้าเราฝึกสติ สมาธิถูกทาง เดี๋ยวสมาธิมา เดี๋ยวความสุขมา เดี๋ยวความสงบมา อาจารย์ของอาตมภาพท่านอยู่ป่า วันหนึ่งมาสอบผู้บริหาร ไม่รู้เรื่องเลยการจัดการ ปรากฏว่าได้ที่สอง ผู้บริหารในมหาวิทยาลัยงงกันหมดเลย พระป่าสอบได้ที่สอง ทำได้ไง

ท่านก็ตอบว่า ข้อไหนที่ผมไม่รู้ก็หลับตาถามตัวเอง อย่างนี้เรียกว่าใช้ปัญญา ใช้กำลังภายใน

เพราะฉะนั้นเมื่อเราฝึกสมาธิไปถึงระดับหนึ่งจะให้ปัญญาสองอย่าง คือ หนึ่ง โลกียปัญญา สอง โลกุตรปัญญา ความสุขไม่ต้องพูดถึง มันได้ตั้งแต่เริ่มฝึกแล้ว พอสงบความสุขมันก็ตามมา


โลกียปัญญา หมายความว่า ความจำเราจะดีขึ้น สติของเราคมขึ้น เหมือนกับว่าเราจะถ่ายรูปเราอยู่บนรถที่กำลังเคลื่อนที่ ภาพออกมามันจะพร่า แต่ถ้าเราจอดรถลงไปถ่ายดีๆ ภาพจะคมชัดขึ้น นั่นคือเมื่อเรามีสติดีปัญญาก็ดีไปด้วย


โลกุตรปัญญา หมายความว่า จะเข้าใจปัญญา โดยปกติเราไม่เคยเข้าใจเลย เราเคยหลงหัวปักหัวปำคนนั้นเตือนคนนี้เตือนก็ไม่ฟัง พอนั่งสมาธิแล้วมันวูบขึ้นมาสอนตัวเองโดยอัตโนมัติ เหมือนเศษดินที่ช่างเอามาปั้นหม้อ เขาก็จะดึงเศษดินเศษหินที่ติดออกมาทีละน้อยๆ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นแจกัน เป็นหม้อที่สวยงาม เพราะว่ารู้จักดึงเศษดินเศษหินออกมาจากตัวมันแล้ว


เมื่อเราฝึกสติก็เป็นกลวิธีอย่างหนึ่งที่เราจะฝึกบุคลิกภาพให้ดี นิสัยก็ดี นำความโง่ซึ่งเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ออกจากตัวเรา ฝึกบ่อยๆ จะได้ผลมากๆ นี่เป็นขั้นพื้นฐาน ถ้าเอาไปต่อยอดเองก็จะมีประโยชน์มาก


ขอสรุปอีกครั้งหนึ่งว่า ทุกครั้งที่ฟังธรรม ขอให้นำไปปฏิบัติ และเมื่อปฏิบัติแล้ว ธรรมก็จะแสดงผลในชีวิตของเรา ชีวิตที่มีธรรมกำกับเป็นชีวิตที่มีความสุข เป็นกำไร กำไรใดๆ ก็ไม่ชื่นใจเท่ากำไรชีวิต



ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ โดย ท่าน ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/34174

นายแพทย์ธวัช ลาพินี ผู้อำนวยการโรงพยาบาล