เด็กไทยทั้งประเทศตกวิเคราะห์
สทศ.เผยผลวิเคราะห์ GAT, PAT สองครั้งพบเด็กทำคะแนนต่ำทั้งประเทศ กระทบมหา'ลัยได้แต่เด็กหางครีมเข้าเรียน ส่วนเด็ก ม.6 ได้คะแนนดีกว่า ม.5 เพราะได้เรียนเนื้อหาครบ ขณะที่ภาพรวมเด็กไทยอ่อนการคิดวิเคราะห์ สะท้อนการเรียนการสอนในโรงเรียน แนะทบทวนเลิกสอนแบบเน้นเนื้อหา แต่ควรฝึกให้เด็กได้คิดมากขึ้น
ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยผลวิเคราะห์การจัดสอบความถนัดทั่วไป หรือ GAT และความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ หรือ PAT ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดสอบไปเมื่อเดือน มี.ค. และครั้งที่ 2 ซึ่งจัดสอบไปเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา พบว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนการสอบครั้งที่ 2 สูงขึ้นในวิชา GAT, PAT 5 ความถนัดทางวิชาชีพครู PAT 6 ความถนัดทางด้านศิลปกรรมศาสตร์ และ PAT 7 ความถนัดทางด้านภาษาต่างประเทศ และพบว่าการสอบครั้งที่ 2 นักเรียนชั้น ม.5 ทำคะแนนได้ต่ำกว่านักเรียนชั้น ม.6 เกือบทุกวิชา สำหรับการสอบครั้งที่ 2 วิชาที่ได้ค่าเฉลี่ยต่ำกว่าครั้งแรก ได้แก่ PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์, PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์, PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์, PAT 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์, PAT 7.1 ความถนัดทางภาษาฝรั่งเศส, PAT 7.5 ความถนัดทางภาษาอาหรับ และ PAT 7.6 ความถนัดทางภาษาบาลี
นอกจากนั้นยังพบว่าเด็กที่สอบเดือน ก.ค.เป็นครั้งแรกคือเด็กกลุ่ม ม.4 ขึ้น ม.5 และเด็กที่อยู่ ม.5 ทำคะแนนได้น้อยกว่าเด็กที่สอบทั้ง 2 ครั้งเกือบทุกวิชา แต่คงจะไม่สามารถสรุปได้ว่าการสอบหลายครั้งจะทำให้มีประสบการณ์และทำคะแนนได้มากขึ้น ซึ่งการที่เด็ก ม.6 ที่สอบ 2 ครั้งสามารถทำคะแนนได้มากกว่าอาจเป็นเพราะเด็กอยู่ชั้น ม.6 ได้รับความรู้จากเนื้อหาครบ ส่วนคะแนน GAT ข้อสอบแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การคิดวิเคราะห์ 150 คะแนน และภาษาอังกฤษอีก 150 คะแนน ซึ่งพบว่าคะแนนส่วนการคิดวิเคราะห์นักเรียนที่อยู่ชั้น ม.6 ได้คะแนนสูงกว่าเด็กชั้น ม.5 แสดงให้เห็นว่าเด็กที่เรียนอยู่ ม.6 มีการคิดวิเคราะห์ได้ดีกว่าเด็ก ม.5
ทั้งนี้ ยังพบว่าการสอบทั้ง 2 ครั้ง มีเด็กสามารถทำคะแนน GAT ได้เต็ม 300 คะแนน จำนวน 2 คน โดยหนึ่งในนั้นเป็นนักเรียน รร.สตรีวัดมหาพฤฒารามในพระบรมราชินูปถัมภ์ ชื่อ น.ส.ยุวพร เกษจุฬาศรีโรจน์ ซึ่งสอบถามเด็กก็พบว่า เด็กไม่ได้กวดวิชา มีวิธีการเรียนคือเรียนไปทบทวนไป ที่สำคัญคือการสอนของทางบ้าน ซึ่งพ่อจะสอนให้อ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก และฝีกตั้งคำถามจากการอ่าน และสอนให้แสวงหาความรู้ ซึ่งเป็นการสอบ GAT ให้ได้ดี ต้องมีการฝึกอ่าน คิด วิเคราะห์ ที่สั่งสมมาตั้งแต่เด็ก
"การสอบทั้ง 2 ครั้งพบว่าเด็กทำคะแนนได้ไม่ผ่านเกือบทั้งประเทศ เท่ากับว่าเด็กสอบแข่งขันในเกณฑ์คะแนนที่ต่ำอย่างไรก็ตาม ข้อสอบ GAT เน้นการคิดวิเคราะห์ การที่เด็กได้คะแนนน้อยสะท้อนให้เห็นว่า รร.ไม่ได้สอนให้เด็กคิด วิเคราะห์เป็น ซึ่งเรื่องนี้คงต้องกลับมาทบทวน รร.การเรียนการสอน โดยสอนให้เด็กฝึกตั้งคำถามว่า ทำไม เพื่อฝึกการวิเคราะห์ ไม่ใช่สอนแต่เนื้อหา และควรลดเนื้อหาให้น้อยลง แต่ให้เด็กได้คิดมากขึ้น การสอบ GAT และ PAT เป็นการสอบคัดเลือก ไม่ใช่การสอบเพื่อวัดศักยภาพเหมือนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต แต่ การที่คะแนนออกมาต่ำฟ้องว่าการคัดเลือกของมหาวิทยาลัยจะได้เด็กหางครีมเข้า ไป แต่ก็ต้องถือว่าเขาเป็นเด็กที่สอบผ่านการคัดเลือก" ผอ.สทศ. กล่าว ส่วน PAT ถ้าได้คะแนนสูงก็สะท้อนว่าเขามีความรู้ความสามารถที่จะไปเรียนในสาขาที่เลือกได้ประสบความสำเร็จ แต่คะแนนที่ออกมาก็ไม่สูงนัก มีเพียง 10% ที่ได้ 200-300 คะแนน ในการสอบทั้ง 2 ครั้ง
ศ.ดร.อุทุมพรกล่าวอีกว่า ก่อนการสอบตั้งธงว่าเด็กควรจะได้คะแนนประมาณ 3 ใน 4 ของคะแนนเต็ม ซึ่งหลังจากสอบแล้วก็พบว่าเด็กได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องทำวิจัยตามจนกว่าเด็กกลุ่มนี้จะจบ ปี.4 แล้วย้อนกลับไปดูว่าเด็กกลุ่มนี้ได้คะแนน GAT มากน้อยแค่ไหน จึงจะสามารถบอกได้ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่.
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Relate topics
- แนวปฏิบัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ
- คู่มือการใช้งาน Hosoffice
- คู่มือการใช้งานโปรแกรม HRMS
- อาการผิดปกติทางจิต ไม่ได้หมายถึงโรคจิตเสมอไป
- มาตราฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ
- ดูแลสมองไว้ ห่างไกลโรค
- ‘สารพิษ’ ภัยร้ายต่อจิต
- คุณรู้จัก `ออร์แกนิก` ดีแค่ไหน?
- รู้ได้อย่างไรว่าลูกเสพยาเสพติด
- ต้นอ่อนทานตะวัน แหล่งสารอาหารสุขภาพ