ฤทธิ์ของแก๊สน้ำตา
แก๊สน้ำตา มีผลระคายเคืองต่ออวัยวะต่าง ๆ คือ ตา เยื่อบุจมูกและทางเดินหายใจ เยื่อบุช่องปาก และผิวหนัง โดยทำให้เกิดอาการดังนี้
ตา : ทำให้มีน้ำตาไหล แสบตา หนังตาบวม เยื่อบุตาบวม ลืมตาไม่ขึ้น ต้องกระพริบตาตลอด รวมทั้งอาจทำให้ตามองไม่เห็น (ตาบอดชั่วคราว) และอาจทำให้เกิดแผลที่กระจกตาได้ หากถูกกระแทกโดยตรง หรืออาจมีเลือดออกในลูกตา หรือติดเชื้อที่ตาในภายหลังได้
จมูก : ทำให้แสบจมูก และมีน้ำมูกไหล
ปาก และทางเดินอาหาร : ทำให้แสบปาก น้ำลายไหล และอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียได้
ทางเดินหายใจ : ทำให้มีอาการไอ เจ็บคอ จาม มีเสมหะ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก อาจมีหลอดลมตีบจนหายใจไม่ออก โดยเฉพาะในคนไข้ที่เป็นโรคหอบหืด หรือถุงลมโป่งพองอยู่ก่อน (จึงต้องระวังให้มากในคนกลุ่มนี้) และอาจมีปอดบวมน้ำ (Pulmonary edema) ได้ใน 12-24 ชั่วโมง หากได้รับในปริมาณที่มาก
ผิวหนัง : หากถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการแสบ และบวมแดง หากสัมผัสนาน อาจเหมือนถูกไฟไหม้ นอกจากนี้อาจมีผิวหนังอักเสบจากการแพ้ (Contact dermatitis) ได้ ซึ่งทำให้เกิดผื่นคัน โดยเกิดหลังจากสัมผัสไปแล้ว 72 ชั่วโมง
อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ : อาการปวดศีรษะ ง่วงซึม, เจ็บหน้าอก ความดันเลือดตก เป็นต้น
การออกฤทธิ์ของแก๊สน้ำตา จะออกฤทธิ์ในทันทีทันใดที่สัมผัส (0-30 วินาที) และจะคงอยู่นานประมาณ 10-30 นาทีหลังจากพ้นการสัมผัสนั้น แต่อาจมีอาการอยู่นานได้ถึง 24 ชั่วโมงขึ้นไป (บางทีนานถึง 3 วัน) และอาการจะรุนแรง และเป็นอันตรายมากขึ้น หากได้รับในปริมาณที่เข้มข้นมากหรืออยู่ในบริเวณที่มิดชิด ไม่มีการถ่ายเทของอากาศ
ที่มา : http://www.thaihealth.or.th
Relate topics
- แนวปฏิบัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ
- คู่มือการใช้งาน Hosoffice
- คู่มือการใช้งานโปรแกรม HRMS
- อาการผิดปกติทางจิต ไม่ได้หมายถึงโรคจิตเสมอไป
- มาตราฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ
- ดูแลสมองไว้ ห่างไกลโรค
- ‘สารพิษ’ ภัยร้ายต่อจิต
- คุณรู้จัก `ออร์แกนิก` ดีแค่ไหน?
- รู้ได้อย่างไรว่าลูกเสพยาเสพติด
- ต้นอ่อนทานตะวัน แหล่งสารอาหารสุขภาพ